แวดวงการศึกษา

ซุปเปอร์บอร์ดจะเป็นอัศวินม้าขาว ทางการศึกษาไทยได้หรือ

ณรงค์ ขุ้มทอง

ประธานกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน

รายการคืนความสุขให้คนไทย โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงปัญหาการศึกษาของไทย และมีแนวคิดจะตั้งซุปเปอร์บอร์ดมาเป็นผู้ขับเคลื่อนในการแก้ปัญหาที่หมักหมมเรื้อรังมายาวนาน โดยเบื้องต้นได้วางเป้าหมายไว้ 6 ยุทธศาสตร์ใหญ่ๆ ด้วยกัน และ 6 ยุทธศาสตร์ดังกล่าวตรงกับปัญหาทางการศึกษาของไทยจริงๆ

ผู้เขียนหวังว่า ซุปเปอร์บอร์ดดังกล่าวสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ เพราะปัญหาทางการศึกษาของไทยมีมากมาย เช่น ปัญหาการปฏิบัติงานของเขตพื้นที่การศึกษาที่มีพื้นที่รับผิดชอบกว้างขวางเกินไป (ดูแลหลายจังหวัด) ปัญหาการขาดเอกภาพของเขตพื้นที่ประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่ต่างคิด ต่างทำ ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดในระดับจังหวัดด้านการศึกษาที่สามารถควบคุมนโยบายและสั่งการให้ผู้บริหารระดับเขตเป็นหนึ่งเดียวควรจะมีหรือไม่ รวมถึงระดับกระทรวงควรมีตำแหน่งที่สามารถบริหารจัดการ 5 แท่งทางการศึกษาของไทย ที่ต่างคิดต่างทำเช่นกันและปัญหาร้อนๆ ล่าสุด คือปัญหาผลคะแนน O-net ในภาพรวมยังไม่ดีขึ้น แต่ก็พอมีความหวังอยู่บ้างคือ ผล O-net ของโรงเรียนขนาดเล็ก ส่วนหนึ่งที่อยู่ในโครงการดาวเทียม DLTV มีผล O-net สูงขึ้นอย่างน่าทึ่ง และ 6 ยุทธศาสตร์ของนายกรัฐมนตรีน่าจะเป็นแรงหนุนให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคิดว่ายังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ฉุดรั้งในการพัฒนาและคุณภาพการศึกษาของไทย ผู้เขียนจึงขอเสนอแนะปัญหาและแนวทางพัฒนาดังนี้

1.ยุทธศาสตร์ระดับประถมศึกษา นักเรียนต้องอ่านออกเขียนได้ และให้มีการประเมินติดตามอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน และเข้มข้น ซึ่งตรงกับปัญหามากที่สุด เพราะถ้านักเรียนยังเขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก ไม่พร้อมที่จะเลื่อนชั้นเรียนไปในชั้นที่สูงขึ้นได้ การเรียนซ้ำชั้นของผู้เรียนมีความจำเป็นหรือไม่ อย่างไร ซึ่งในปัจจุบันจำนวนนักเรียนต่อห้องก็มีน้อย และจำนวนนักเรียนในโรงเรียนบางโรงไม่ถึง 100 คน โรงเรียนดังกล่าวมีครูค่อนข้างพร้อม แต่ปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ยังมีอยู่ ฉะนั้นผู้บริหารในระดับเขต ระดับโรงเรียน และครูอาจารย์จะต้องมีส่วนรับผิดชอบหรือไม่

2.ยุทธศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ให้มีการเลือกวิชาชีพ ประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง ซึ่งปัจจุบันในโรงเรียนจัดอยู่แล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของโรงเรียน แต่โรงเรียนมักจะจัดเป็นวิชาเลือกหรือวิชาเพิ่มเติม ปัญหาสำคัญคือนักเรียนไม่เลือกในรายวิชาที่เป็นวิชาชีพ เพราะนักเรียนถูกฝึกให้สบายไม่ต้องรับผิดชอบ เรียนแล้วเหนื่อยต้องออกแรงฝึกปฏิบัติ และกระแสด้านวิชาชีพในโรงเรียนมัธยมไม่เป็นที่นิยมของผู้เรียน นักเรียนมุ่งที่จะเรียนแต่สายสามัญทั้งๆ ที่ตัวเองไม่พร้อมที่จะเรียน เกรดเฉลี่ย 1.50 ก็อยากเรียนสายวิทย์-คณิต นักเรียนเลือกตามเพื่อนหรือตามกระแส

ผู้เขียนใคร่ขอเสนอว่าควรรื้อฟื้นโครงการโรงเรียนมัธยมแบบประสมขึ้นมาใหม่ โดยสอนวิชาสามัญและวิชาชีพในระดับ ม.ต้น ผลดีคือนักเรียนจะมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพ/นักเรียนสามารถประเมินตนเองได้ว่าเมื่อจบชั้น ม.3 อย่างเช่นเด็กในประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เป็นต้น ซึ่งนักเรียนสามารถนำเอาความรู้ด้านเทคนิค/ด้านวิชาชีพที่เรียนมาปรับมาใช้หรือแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ซ่อมไฟฟ้า/ซ่อมรถจักรยานยนต์/จักรยาน เบื้องต้นได้ และที่สำคัญกระทรวงศึกษาธิการจะได้ลดภาระในการรณรงค์ให้นักเรียนเข้าเรียนสายอาชีพลงได้ไม่มากก็น้อย และไม่ต้องเสียงบประมาณของรัฐมาจ้าง (ให้ทุน) ให้นักเรียนเข้าเรียนในสายอาชีพที่กำลังคิดกันอยู่ในขณะนี้

ในประเทศสิงคโปร์ได้พัฒนาโรงเรียนให้เป็นแหล่งพัฒนาทางวิชาชีพ ซึ่งได้บรรจุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ปฏิรูปประเทศชาติ มีการจัดตั้งชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) ทั้งนี้เพื่อวางรากฐานวิชาชีพให้กับประเทศและมีนโยบายให้โรงเรียนตั้งชุมชนวิชาชีพขึ้นในโรงเรียนนำร่องขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นี้ แต่ผู้เขียนเป็นห่วงว่าเมื่อเดินหน้าโครงการใดแล้วอย่าเปลี่ยน อย่าทิ้งโครงการเสียเฉยๆ เหมือนที่ผ่านมา ดังเช่นโครงการโรงเรียนพี่ โรงเรียนน้อง หรือโครงการผู้นำอาเซียนที่ดูซบเซาลง

ประเด็นนี้น่าจะเป็นโอกาสดีของประเทศไทย จะได้มีแรงงานทั้งในระดับล่าง กลาง สูง รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ และพร้อมที่จะแข่งขันในระดับอาเซียนและนานาชาติได้ และที่สำคัญสามารถลดการนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านได้ไม่มากก็น้อย มีผลให้แรงงานไทยช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยตนเองโดยไม่พึ่งพาแรงงานจากต่างชาติ ดังเช่นปัจจุบัน

3.ยุทธศาสตร์ให้มีการเชื่อมโยงระหว่างการศึกษากับการส่งเสริมวิชาชีพและอาชีพ ให้ตรงกับตลาดแรงงานและความต้องการของตลาดแรงงาน ประเด็นนี้สำคัญเช่นกันและขอยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์อีกเช่นเคย สิงคโปร์วางพื้นฐานของการศึกษาเยาวชนไว้ 4 เป้าหมายคือ 1.เพื่อชาติ 2.เพื่อการศึกษาและพัฒนา 3.เพื่อการปฏิบัติและฝึกทักษะ 4.เพื่อการมีส่วนร่วมสู่วิชาชีพ ทั้ง 4 ภารกิจนี้ให้ถือยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศสิงคโปร์โดยให้กระทรวงศึกษาธิการนำไปขยายผลและปฏิบัติ คิดการวัดและประเมินผลควบคุมอย่างเคร่งครัด โดยเน้นสร้างและส่งเสริมการคิด การสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา สร้างเจตคติ การทำงานร่วมกัน ความสนใจใฝ่รู้สร้างนิสัย ความอดทน ความเพียรพยายาม และปลูกฝัง การค้นคิดนวัตกรรมใหม่ (New Inonvation) และการค้นหาสิ่งใหม่ๆ มาสร้างประเทศ

ผู้เขียนจึงเสนอว่าควรเพิ่มและตัดรายวิชาที่เป็นขยะในการเรียนของเด็กลงและควรเพิ่มรายวิชาที่สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน เช่น วิชา โลจิสติกส์ (Logistics) วิชาการค้าระหว่างประเทศ วิชาการเงินและการคลัง เป็นพื้นฐานให้กับนักเรียน ตั้งแต่ระดับมัธยมจนถึงระดับอุดมศึกษา เป็นการเตรียมคนเข้าสู่วิชาชีพ จึงถึงเวลาแล้วที่กระทรวงศึกษาธิการควรกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรองรับสังคมโลกในศตวรรษที่ 21

 

4.ยุทธศาสตร์ระดับอุดมศึกษา เน้นการวิจัยและเชื่อมกับภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม ด้านการวิจัยเป็นเรื่องควรเร่งและส่งเสริมโดยด่วนเพราะเป็นพื้นฐานในเชิงพัฒนาประเทศทุกๆ ด้าน แต่ถ้าดูผลการประเมินประจำปี 2014 ของ World Economic Forum พบว่าด้านการวิจัยและบริการ ระดับกลุ่มอาเซียนประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 5 (1.สิงคโปร์ 2.มาเลเซีย 3.อินโดนีเซีย 4.ฟิลิปปินส์ 5.ไทย) และอยู่ในลำดับ 61 ของโลก

ผู้เขียนจึงเห็นด้วยอย่างยิ่งด้วยแนวทางของท่านนายกรัฐมนตรี เพราะงานวิจัยเป็นพื้นฐานเชิงข้อมูลที่สำคัญนำไปสู่การค้นคิดนวัตกรรมใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ ผู้เขียนอยากฝากผู้เกี่ยวข้องว่าทำอย่างไร สอนให้น้อยลงแต่เรียนรู้และปฏิบัติให้มากขึ้น สอนด้วยโครงงาน จัดการศึกษาโดยมองพื้นฐานการตลาดและความต้องการของประเทศและของโลก การศึกษาเพื่อประกอบอาชีพเป็นสำคัญ มุ่งผลิตบุคลากรให้สอดคล้องตามความต้องการกับตลาดแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการของไทยเราควรวางเป้าหมายการผลิตบุคลากรในระดับ Polytechnic ให้มากกว่าการผลิตบุคลากรทางวิชาการหรือเป้าหมายงานราชการหรือมนุษย์เงินเดือน ในประเทศสิงคโปร์มีมุมมองในการตั้งสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับอาชีพหรือธุรกิจให้อยู่ในย่านอุตสาหกรรม ย่านเคหกิจ

ทั้งนี้ให้ผู้เรียนได้เห็นและสัมผัส เห็นการแข่งขันเชิงธุรกิจ และสิงคโปร์ยังนำห้องสมุดแห่งชาติ (National Library) ไปอยู่ในห้างสรรพสินค้า เพราะสถานที่ดังกล่าวเป็นแหล่งรวมของเยาวชน ทั้งนี้เพื่อเอื้อให้เยาวชนเข้าถึงได้สะดวกและง่ายมากขึ้นในการศึกษาค้นคว้า ในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง ไทเป นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 90-95% จะเรียนและทำงานไปด้วย โดยไม่พึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้ปกครอง ซึ่งตรงกันข้ามกับเด็กนักศึกษาไทยที่ผู้ปกครองจะต้องดูแลเกือบตลอดชีวิต

5.ยุทธศาสตร์ยกระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษการยกระดับความสามารถทางภาษาเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเราได้ตื่นตัวมาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่พอตรวจสอบวัดหรือประเมินผลออกมาก็ยังไม่ดี ยังไม่เป็นที่พอใจ ถ้าเทียบเคียงในระดับอาเซียนแล้วไทยอยู่ลำดับที่ 4 ที่ 5 ทั้งๆ ที่เด็กไทยเริ่มเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่อนุบาล จนถึงมหาวิทยาลัย ร่วมๆ 10 ปี แต่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ภาษาอังกฤษจึงเป็นยาขมหม้อใหญ่ของเด็กไทย ในประเทศมาเลเซียจะจัดทำแผ่นซีดีแจกให้โรงเรียนนำไปฝึกไปสอนเหมือนกันทั้งประเทศ ฝึกอ่านฝึกออกเสียง เป้าหมายคือ อ่านออก พูดได้ มาเลเซียจึงเป็นของดีราคาถูก ยิ่งตอนนี้มีกระแสข่าวว่าจะนำโมเดลประเทศฟินแลนด์มาใช้พัฒนาการศึกษาของไทย ฟินแลนด์กับไทยต่างกันมากๆ ในบริบทของประเทศเกือบทุกด้าน

ผู้เขียนคิดว่าอย่าเลย เพราะตัวอย่างใกล้บ้านเรามีดีๆ ให้ดู ให้เห็น และนำมาเป็นตัวอย่างได้ และที่มันแย่ๆ ในขณะนี้ก็เอามาจากยุโรป อเมริกา ไม่ใช่หรือ (ไม่ได้แย่ทั้งหมด) ปัญหาการสอนภาษาอังกฤษในไทยเป็นปัญหาเดิมๆ ทั้งๆ ที่หลายโรงเรียนพยายามดำเนินการอยู่ในขณะนี้  แต่ยังมีโรงเรียนอีกเกินครึ่งของไทยที่ยังไม่พร้อม ไม่มีทั้งครูเจ้าของภาษา ไม่มีงบประมาณที่จะว่าจ้างครูชำนาญการทางภาษามาฝึกมาสอน ครูด้านภาษาที่มีอยู่แล้วก็ไม่พร้อมที่จะสอนภาษาได้ในระดับมาตรฐานสากล ครูไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องตรงข้ามกับประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ครูจะถูกฝึกอย่างเข้ม 300-500 ชั่วโมง ทุก 3 ปี เป็นต้น และถ้านำมุมมองจากต่างประเทศในมิติทางภาษาของไทยแล้ว พบกับความเจ็บปวด เพราะคนไทยรู้แต่ภาษาของตัวเองคือภาษาไทย การศึกษาของไทยไม่ทันและสอดคล้องกับสถานการณ์ของโลก คนไทยไม่พร้อมในเวทีโลก คนไทยมองอนาคตไม่เป็น เป็นต้น

ผู้เขียนใคร่ขอเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาและส่งเสริมด้านภาษาอังกฤษโดยใช้ยุทธศาสตร์โรงเรียนพี่ โรงเรียนน้อง โดยคัดเลือกโรงเรียนขนาดใหญ่ประจำจังหวัด ประจำอำเภอ ทั้งมัธยมและประถมศึกษา รวมภาครัฐและเอกชนที่มีความพร้อมด้านการบริหารจัดการ/ด้านบุคลากร ให้เป็นศูนย์พัฒนาทางภาษาอังกฤษ โดยใช้ศูนย์ภาษาในโรงเรียนมัธยมในแต่ละภาคเป็นศูนย์ (ERIC-English Resource Intruction Center) บริหารจัดการที่ผ่านมา ทำแต่ไม่เต็มที่ไม่ต่อเนื่อง และที่สำคัญขาดการติดตามและประเมินที่ชัดเจนและเข้มข้น ขาดงบประมาณ

ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นทางเลือกใหม่ทางภาษา เพราะนโยบายโรงเรียนพี่โรงเรียนน้องมีอยู่แล้ว ศูนย์ภาษาในแต่ละภาคมีอยู่แล้วเพียงแต่นำมาบริหารจัดการใหม่ โรงเรียนหลักๆ ข้างต้นทั่วประเทศเกือบ 5,000 โรงเรียน โดยสร้างเครือข่ายทางภาษาอังกฤษ โรงเรียนละ 3-5 โรงเรียน เราก็สามารถมีโรงเรียนที่ได้รับการฝึกและพัฒนาทางภาษาทั้งครูและนักเรียนทั้งประเทศได้เกือบ 20,000-30,000 โรง จึงขอฝากไปยังซุปเปอร์บอร์ดลองพิจารณาดู

6.ยุทธศาสตร์ด้านการผลิตครูประเด็นการผลิตครูผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะครูเป็นวิศวกรที่ผลิตคน สร้างคน และคนเป็นครูไม่ใช่สอนหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่ควรสอนนักเรียนด้วย (สอนคุณธรรม-จริยธรรม) แต่ปัจจุบันเรามีครูสอนหนังสือมากกว่าครูสอนคุณธรรม-จริยธรรม สายใยและความรักระหว่างครูกับนักเรียนมีน้อยลง ความผูกพันระหว่างครูและนักเรียนมีระยะห่างมากขึ้น การที่ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เห็นความสำคัญด้านนี้ และผู้เขียนในฐานะเป็นหนึ่งในผู้ทรงคุณวุฒิที่มีส่วนร่วมให้ข้อคิดเห็นหรือแนวทางการปฏิรูปการศึกษา และผู้เขียนได้ไปศึกษาดูงานการผลิตครูในประเทศเกาหลีใต้เมื่อหลายปี พบว่ามี 2 ระบบคือ วิทยาลัยครู ผลิตครูเพื่อสอนระดับประถมศึกษา นักศึกษาครูจะได้รับทุนยกเว้นค่าลงทะเบียนและอื่นๆ เมื่อจบแล้วต้องไปเป็นครูในโรงเรียนประถมศึกษาอย่างน้อย 4 ปี

อีกระบบคือวิทยาลัยวิชาการศึกษาหลักสูตร 4 ปี ผลิตครูสอนระดับมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยอื่นๆ ผลิตครูจะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลและต้องรับรองคุณภาพเท่านั้น นอกจากนั้นเกาหลีใต้ได้วางแผนสร้างระบบการศึกษาใหม่ (New Education System) โดยตั้งมหาวิทยาลัยทางการศึกษา Korea National University of Education เพื่อผลิตครูชั้นนำที่สามารถสอนและวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา รวมทั้งผลิตครูให้เป็นผู้นำในการปฏิรูปการศึกษา มีบทบาทในการฝึกอบรมและวิจัยทางการ เกาหลีใต้เจริญก้าวหน้ามาได้ทุกวันนี้

การผลิตครูโครงการคุรุทายาทจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมา เพราะโครงการคุรุทายาทเป็นโครงการที่ดี ควรนำมาปัดฝุ่นใหม่ แต่ควรเพิ่มความเข้มของความเป็นครูในขั้นสูงสุด ฝึกความรักในวิชาชีพครูให้เขาเป็นครูมืออาชีพ อย่าให้เขาเป็นครูที่มีอาชีพครู ดังที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เคยกล่าวไว้ การผลิตครูโดยคัดผู้เรียนที่มีผลการเรียนดีเยี่ยม/มีคุณธรรม-จริยธรรมที่ดี เคารพในสถาบันชาติ/ศาสนา และพระมหากษัตริย์เป็นสูงสุด ใฝ่ในระบอบประชาธิปไตย และเมื่อจบหลักสูตรแล้วรัฐรองรับบรรจุในการทำงาน พร้อมให้ค่าตอบแทนขั้นต่ำที่สูงพอเทียบเท่ากับอาชีพหมอและวิศวกร และควรกำหนดสถาบันที่ผลิตครูเป็นการเฉพาะ ภาคละ 1 แห่ง และส่วนกลาง 1-2 แห่งเท่านั้น ใช้หลักสูตรเดียวกัน การฝึกปฏิบัติเดียวกัน (เทียบเท่าโรงเรียนเตรียมทหาร) และห้ามไม่ให้สถาบันที่ไม่พร้อมผลิตครูโดย เด็ดขาด

การผลิตครูยุคใหม่ ต้องเป็นครูพร้อมที่จะสอนฝึกให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิด/การสื่อสาร/การแก้ปัญหา/การมีส่วนร่วม/และจิตสาธารณะ และครูยุคใหม่ไม่ใช่ครูที่สอน ที่บอกความรู้อีกต่อไป ครูต้องสอนให้ผู้เรียนรู้จักคิด รู้จักค้นคว้า รู้จักวิเคราะห์และแยกแยะต่างหากที่สำคัญที่สุด เพราะความรู้ยุคใหม่ที่มีในโลกมาอยู่ใกล้ตัวเด็ก หรืออยู่ปลายนิ้วผู้เรียนแล้ว ปรัชญาทางการศึกษายุคใหม่เปลี่ยนไปแล้ว อย่างเช่น ฮ่องกงได้นำหลักคิดอริสโตเติล บิดาการคิดและวิเคราะห์ มาเป็นโมเดลปฏิรูปการศึกษาของฮ่องกงในปี 2000 และฮ่องกงใช้เวลา 10 ปีเศษก็สามารถเปลี่ยนโฉมและคุณภาพทางการศึกษาสู่แนวหน้าของโลกได้ในเวลาอันสั้น

 

6 ประเด็นที่ท่านนายกรัฐมนตรีคิดและวางเป้าหมายนับว่าน่าจะเป็นอีกยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาทางการศึกษาของไทย และผู้เขียนหวังว่า 6 ประเด็นข้างต้นจะส่งผลต่อผู้เรียน ต่อคุณภาพการศึกษาในอนาคตข้างหน้า และอย่าลืมว่า ถ้าคิดอย่างไทย ทำอย่างไทย บริหารแบบไทยๆ น่าจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการปฏิรูปการศึกษาของไทย และอยากฝากไปยัง คสช.ว่า ลี กวนยิว สร้างประเทศสิงคโปร์ด้วยการปฏิรูปการศึกษา ปี 2000 ฮ่องกงก็ปฏิรูปการศึกษา ส่งผลให้ฮ่องกงเจริญก้าวหน้าระดับต้นๆ ของโลก 2 ประเทศนี้เราไม่สนใจจะเอามาเป็นต้นแบบบ้างหรือ หรือรอให้ท่านนายกรัฐมนตรีนำเอา ม.44 มาแก้ไข ขับเคลื่อน และเยียวยา 

ที่มา มติชน ฉบับวันที่ 28 เม.ย. 2558 (กรอบบ่าย)

 

ที่มา: http://www.kroobannok.com/74818

อ่านต่อ...